เผยแล้ว !!  "ซิโก้"เปิดใจถึงกระแสข่าวสัญญาคุม"ช้างศึก" ต่อไป !!!

เผยแล้ว !! "ซิโก้"เปิดใจถึงกระแสข่าวสัญญาคุม"ช้างศึก" ต่อไป !!!

"ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชของทีมชาติไทย รับเหนื่อยกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นกับสัญญาที่จะหมดในเดือน ก.พ.2017 ทั้งๆที่น่าจะเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขกับการฉลองแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ยันไม่เคยคิดจะทะเลาะกับประมุขบอลไทย เพียงแต่ท้อกับคนที่กำลังจะทำให้แตกแยก ตลอดจนได้คิดจะไปทำชาติใดๆในอาเซียน และยังไม่มีการทาบทามสโมสรในไทย ทว่าอยากจะทำทีมชาติต่อไปเนื่องจากต้องการตอบแทนคุณแผ่นดิน รวมทั้งไม่อยากเห็นใครมาดูถูก "ช้างศึก" อีกแล้ว นอกจากนี้ยังเตรียมงานไว้จนถึงการเล่นเอเชียน คัพ 2019 แต่ถ้าอนาคตไม่ได้กุมบังเหียน วิถีทางของโค้ชก็เป็นไปได้ทั้งนั้นในการรับงานอื่นทั่วโลก เหมือนกับที่กุนซือหลายชาติทำกัน

        หลังจากที่ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับสัญญาของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือที่พาทีมชาติไทย ป้องกันแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ได้เป็นสมัยที่ 5 ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะต่อหรือไม่ต่อสัญญาของเฮดโค้ช “ช้างศึก” ซึ่งกำลังจะหมดในเดือน ก.พ.2017 รวมทั้งมีโค้ชต่างชาติหลายรายที่ส่งโปรไฟล์มาให้กับทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ทำการคัดเลือก เพียงแต่ยังไม่ทำการตัดสินใจ แต่ก็ชอบกุนซือที่เคยทำทีมไปฟุตบอลโลกมาแล้ว

        ล่าสุด "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือที่พาทีมชาติไทย ที่อยู่ในระหว่างการอบรมโค้ช โปร ไลเซนต์ ได้ออกมาบันทึกเทปรายการ "เป็นเรื่องเป็นข่าว" ทางช่อง พีพีทีวี ช่อง 36 ซึ่งจะแพร่ภาพในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ เวลา 19.30-20.00 น. โดยมี "โอเปิ้ล" ประภาพร เชาวนาศิริ รับหน้าที่เป็นพิธีกร

        โดย"ซิโก้" ได้บอกว่า "การที่ท่านนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ออกมาพูดเช่นนั้น ผมเองไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ผมงงว่าจะทำให้ผมกับท่านแตกแยกกันทำไม ทั้งๆที่วันนี้น่าจะอยู่ในช่วงที่เป็นความสุขของแฟนบอลชาวไทย ที่ได้ฉลองกับของขวัญปีใหม่อย่างแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016"

        "ที่สำคัญเพิ่งจะผ่านการคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2916 มาเพียงแค่ 2 วัน และผมกำลังอยู่ในช่วงเรียนโปร ไลเซนต์ ฉะนั้นไม่ควรจะมีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้นมา เพราะผมไม่คิดจะทะเลาะกับท่านนายกฯ อยู่แล้ว รวมทั้งไม่มีความกดดันเรื่องกระแสโค้ชนอกที่จะเข้ามาทำทีม เนื่องจากตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ทำงานอย่างหนัก ผมทำเพื่อถวายรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 รวมทั้งแฟนบอลชาวไทยทุกคน"

        ไม่ได้กลัวเรื่องงานและไม่คิดทำที่อื่น

        ขณะเดียวกัน "ซิโก้" ยังพูดถึงเรื่องของสัญญาว่า "จริงๆแล้วสัญญาของผมจะหมดในเดือน ก.พ.ปีหน้า ซึ่งผมเองไม่ได้กลัวเรื่องตกงาน เพราะผมเองก็มีงานที่ บ.สปอร์ต ฮีโร่ รองรับอยู่ หลังจากปล่อยให้ภรรยาของผมทำอยู่คนเดียว"

        "แต่สิ่งที่ผมต้องการอยากจะเห็นคือ การทำให้ทีมชาติไทย มีการพัฒนา วันนี้ที่ผมได้มาเรียนโปร ไลเซนต์ กับโค้ชไทยคนอื่นๆ ไม่ได้หวังที่จะเอาความรู้ไปช่วยทีมชาติคู่แข่ง แต่เรามาทำเพื่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย เพราะนี่ถือเป็นโร้ดแม็พการวางรากฐานโค้ชของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเช่นเดียวกัน"

        "ที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม อยากจะให้ผมไปเป็นเฮดโค้ชนั้น บอกได้เลยว่าไม่มีการทาบทามเข้ามาอย่างแน่นอน เพราะเป็นเพียงแค่แฟนบอลของชาติอาเซียน ที่ติดตามในอินสตาแกรมของผม เข้ามาคอมเมนต์เพื่ออยากจะให้เราไปทำงานที่นั่น"

        "จริงๆแล้วหากผมจะไปทำงานที่ เวียดนาม ก็ได้ เพราะผมเองอยู่ที่นั่นมา 6 ปี แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องไป ซึ่งประเด็นนี้มันเกิดขึ้นมาหลังเกมรอบชิงชนะเลิศ นัดสอง ของเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ที่มีนักข่าวอินโดฯมาถามผมว่าอยากจะไปเป็นโค้ชที่นั่นหรือไม่ ผมเพียงแค่บอกว่าอนาคตไม่แน่ เพราะเราคือโค้ชอาชีพ ทว่าสิ่งที่แฟนบอลคิดนั้นกลับมาเชื้อเชิญผมในอินสตาแกรมส่วนตัว ซึ่งผมเองก็ไม่เคยไปตอบกองเชียร์เหล่านั้นแต่อย่างใด"

        ยังไม่มีสโมสรทาบและต้องการตอบแทนแผ่นดิน

        ต่อข้อสักถามที่ว่าอนาคตหากว่าไม่ได้เป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทย จะหันกลับมาคุมสโมสรในเมืองไทยหรือไม่ "ซิโก้"ตอบว่า "ถึงเวลานี้ยังไม่มีสโมสรในเมืองไทยที่ทาบทามมาอย่างชัดเจน และผมเองไม่ได้คิดว่าจะทำสโมสร เพราะเราทำให้แค่คน 2-3 หมื่นภูมิใจ เปรียบเทียบกับให้คน 60 กว่าล้านคนในประเทศได้มีความสุขกันไม่ได้"

        "การเข้ามารับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ ผมเองต้องการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ซึ่งความรักชาติของผมมันมีอยู่แล้ว แต่อนาคตค่อยว่ากันอีกที รวมทั้งผมเองมีความรู้สึกอยากจะให้ทีมเยาวชนพัฒนาไปให้ถึงการเข้าร่วมฟุตบอลเยาวชนโลก"

        "ที่ผ่านมาทีมอื่นๆในอาเซียน ต่างไปฟุตบอลเยาวชนโลกกันหมดแล้ว ซึ่งการไปเล่นในรอบเอเชียของทีมระดับต่างๆอาจจะเกิดจากสิ่งที่ชุดเก่าทำไว้ แต่ผมมองว่าท่านนายกและสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ชุดใหม่ คงจะสิ่งที่เป็นรูปธรรมในการเล่นรอบเอเชียในอีก 2 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน"

        เวลานี้เราต้องรักษาผลงานของทีมชุดใหญ่ให้ดี เพราะหลายชาติในอาเซียนจ้องที่จะล้มเรา รวมทั้งต้องทำทีมเยาวชนให้ดีที่สุด อย่างซีเกมส์ปีหน้าของโค้ชโย่ง (วรวุธ ศรีมะฆะ) มีเป้าหมายอย่างเดียวคือ ต้องป้องกันแชมป์ให้ได้ แต่คู่แข่งอย่าง เมียนมาร์ ใช้ชุดเด็กลุยเอเอฟเอฟ ซูซูกกิ คัพ 2016, กัมพูชา กับ เวียดนาม ก็ดีขึ้นมาในชุดเด็ก มาเลเซีย เป็นเจ้าภาพ สิงคโปร์ มียัง ไลอ้อนส์ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราต้องร่วมกันสร้างทีมเย่าวชนไทยให้แข็งแกร่ง"

        อยากทำไทยไม่ให้ใครดูถูก, เตรียมงานไว้แล้ว

        "ซิโก้" ยังได้เปิดใจอีกว่า "ในวันนี้เราได้ไป เอเชียน คัพ 2019 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (หลังจากคว้าแชมป์กลุ่ม เอฟ ฟุตบอลโลก 2018 รอคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ได้ไปแบบอัตโนมัติ) ผมจึงอยากจะเห็นทีมชุดนี้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และไม่ต้องการให้ใครดูถูกได้เหมือนสมัยผมเล่นให้ทีมชาติไทย"

        "ในช่วงที่ผมเล่นหากเจอทีมเอเชีย หลายคนคงจะมองว่าโดนถล่มแน่ แต่กลับกันวันนี้เด็กของเราสามารถต่อกรกับทีมเอเชียได้ เราเกือบจะชนะซาอุดิอาระเบีย แต่ที่แพ้เพราะสาเหตุใดคงจะเห็นกันไปแล้ว ทว่าเราไม่โวยวายเนื่องจากเราต้องการเล่นให้สนุก ต่อกรให้รู้ว่าใครจะมาดูถูกเราไม่ได้"

        "หากว่าผมได้ต่อสัญญา แน่นอนว่าผมเซ็ตงานไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ผู้เล่นหน้าใหม่ที่จะเรียกเข้ามา เพราะเรามีเกมในบ้านที่จะเจอกับทีมตะวันออกกลาง 3 ทีม ทั้ง ซาอุดิอาระเบีย, ยูเออี, อิรัก ซึ่งเราหวังที่จะชนะให้ได้ และต้องไปเล่นเกมเยือนกับ ญี่ปุ่น รวมทั้ง ออสเตรเลีย ที่เราต้องการทำออกมาให้ดีที่สุด"

        "ปัญหาที่เกิดขั้นในวันนี้ผมเองไม่ได้เกิดอาการท้อแต่อย่างใด ตรงกันข้ามอยากจะทำให้แฟนบอล 60 กว่าล้านคนทั่วประเทศ ได้ดูบอลอย่างมีความสุข มีแฟนบอลเข้ามาเต็มสนามราชมังคลากีฬาสถาน เห็นรอยยิ้ม ความดีใจ นั่นคือสิ่งที่ช่วยให้ผมทำงานด้วยความมุ่งมั่นมาตลอด"

        รับตัวเองมีโชคแต่เหนื่อยกับข่าว

        เจ้าตัวยังได้เล่าให้ฟังว่า "ผมคิดว่าผมโชคดีมาหลายปี จริงๆแล้วการเข้ามารับงานทีมชาติไทย หากว่าผมพาทีมตกรอบในปี 2013 ของซีเกมส์ ที่เมียนมาร์ ผมเองคงจะโดนปลดออกจากตำแหน่งแล้วเช่นกัน แต่ครั้งนั้นผมพาทีมเป็นแชมป์ จนถึงโชคดีในรายการอื่นๆเรื่อยมา"

        "ถ้าผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้จริงๆ ผมคงจะไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ด้วยการเป็นโค้ชอาชีพ สามารถไปทำทีมอื่นได้ทั่วโลก เหมือนอย่างที่ โค้ชบราซิล หรือ เยอรมัน ไปทำทีมต่างๆ ฉะนั้นขอให้ทุกคนอย่าคิดเลยว่าผมเองไม่ได้รักทีมชาติไทย"

        "ทุกวันนี้ผมเหนื่อนเต็มที่ที่มีข่าวออกมา ทั้งๆที่เราเพิ่งจะคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 มาได้เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น แชมป์นี้ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของคนไทยทั้งประเทศ ฉะนั้นผมขอร้องอย่าทำให้ผมต้องไปทะเลาะกับใคร หรือโยนความกดดันมาให้อีกเลย"

        "ผมเองไม่ได้ทะเลาะกับท่านนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับข่าวเรื่องโค้ชต่างชาติต่างๆนานานั้น อาจจะทำให้ผมกับท่านมีความสนิทรักกันมากขึ้นก็เป็นไปได้"