คนไทยด้วยกันรู้กัน !! "บิ๊กอ๊อด" เคลียร์ขาด!!โค้ชชุดใหญ่เป็นคนไทยก็ได้ !!!

คนไทยด้วยกันรู้กัน !! "บิ๊กอ๊อด" เคลียร์ขาด!!โค้ชชุดใหญ่เป็นคนไทยก็ได้ !!!

  ประมุขบอลไทย โปรยวาทะเด็ด!!! "โค้ชเยาวชนเป็นต่างชาติได้ แต่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เป็นคนไทยได้" เนื่องจากคนไทยด้วยกันจะรู้เนื้อแท้และมีจิตวิทยาที่ผนึกกำลังผู้เล่นเป็นเนื้อเดียวกันได้ รวมทั้งไม่เคยคิดหรือตั้งธงที่จะปลด "ซิโก้" แม้แต่น้อย กลับกันยังพูดตลอดว่าให้ทำงานเต็มที่ ตัวเองจะไม่แทรกแซง เมื่อเสร็จศึกจะกลับมาคุยเรื่องของสัญญา ซึ่งสิ่งที่พูดออกไปในเรื่องของการเปลี่ยนโค้ช เพราะโดนแฟนบอลกดดันอยู่ฝั่งเดียว เมื่อพูดออกไปจึงเป็นการปลดล็อก

       "บิ๊กอ๊อด" รับไม่เคยพูดจะปลด "ซิโก้"


          หลังจากที่ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับสัญญาของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือที่พาทีมชาติไทย ป้องกันแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ได้เป็นสมัยที่ 5 ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะต่อหรือไม่ต่อสัญญาของเฮดโค้ช "ช้างศึก" ซึ่งกำลังจะหมดในเดือน ก.พ.2017


          รวมทั้งมีโค้ชต่างชาติหลายรายที่ส่งโปรไฟล์มาให้กับทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ทำการคัดเลือก เพียงแต่ยังไม่ทำการตัดสินใจ แต่ก็ยังชอบกุนซือที่เคยทำทีมไปฟุตบอลโลกมาแล้ว ก่อนที่ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือของทีมชาติไทย ที่อยู่ในระหว่างการอบรมโค้ช โปรไลเซนต์ ได้ออกมายอมรับว่า เหนื่อยกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นกับสัญญาที่จะหมดลงในเดือน ก.พ.2017 ทั้งๆที่น่าจะเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขกับการฉลองแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016


          รวมทั้งยืนยันว่าไม่เคยคิดจะทะเลาะกับ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประมุขบอลไทยแม้แต่น้อย เพียงแต่ท้อกับคนที่กำลังจะทำให้แตกแยกเท่านั้น ตลอดจนไม่ได้คิดจะไปทำชาติใดๆในอาเซียน ล่าสุดเมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา ประมุขบอลไทยได้มาบันทึกเทปรายการ "เป็นเรื่องเป็นข่าว" ทางช่อง พีพีทีวี ช่อง 36 ซึ่งจะแพร่ภาพในวันที่ 21 ธ.ค. เวลา 19.30-20.00 น. โดยมี "โอเปิ้ล" ประภาพร เชาวนาศิริ รับหน้าที่เป็นพิธีกร "บิ๊กอ๊อด" บอกว่า "ผมกับโก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) คุยกันมาโดยตลอด ทางโก้เองก็ไม่อยากให้ผมฟังนักข่าวมาก ผมจึงขอให้เขาอย่ากังวลและทำหน้าที่ต่อไป เพราะเรื่องของสัญญาเป็นไปได้หมด แต่ขอให้ทำหน้าที่ออกมาดีที่สุด เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วมาคุยกัน นั่นคือสิ่งที่ผมคุยกับเขา"


          "ผมไม่เคยพูดออกมาเลยว่าจะปลดหรือเปลี่ยนหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ถ้ายังไม่ถึงเวลา ไม่รู้ว่านักข่าวที่สัมภาษณ์ในวันนั้นอยากให้พูดอะไร อย่างเรื่องเงินอัดฉีดเมื่อถึงเวลาผมก็บอกว่าถ้าเป็นแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ให้ 10 ล้านบาท และผมก็ไม่พูดอีกเลย จนเมื่อก่อนแข่งรอบชิงชนะเลิศ นัดสอง ผมได้ไปคุยกับ อุ้ม (ธีราทร บุญมาทัน) กับ มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) ว่าให้ลูกละ 1 ล้านในการยิงประตู รวมทั้งได้บอกโก้ว่าให้ทำหน้าที่ออกมาดีที่สุด แล้วเราจะมานั่งพูดคุยกัน ซึ่งตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เนื่องจากจะเปลี่ยนย่อมทำได้แต่ทำกีอยู่แล้วจะเปลี่ยนทำไม"


      เผยโดนแฟนบอลกดดันจึงพูดไป
 

            "บิ๊กอ๊อด" ได้เผยถึงแรงกดดันที่ทำให้เจ้าตัวพูดออกมาในเรื่องสัญญาของกุนซือทีมชาติไทยว่า "วันนี้เราต้องมานั่งคิดกันว่า โก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) ประสบความสำเร็จในเวทีอาเซียนอย่างแท้จริง แต่จะสามารถพาทีมเดินหน้าไปสู่เอเชียได้หรือไม่"
 

          "เพราะที่ผ่านมาผมเองก็โดนแฟนบอลกดดันเหมือนกัน เนื่องจากพวกเขาคาดหวังที่อยากจะเห็นทีมไปสู่เวทีเอเชียและฟุตบอลโลกให้ได้ ซึ่งผมเองก็คุยกับโก้เหมือนกัน เขายังบอกว่ามันยังเร็วไป แฟนบอลก็ยังกลับมาต่อว่าในความคิดนี้เหมือนกัน"
  

          "หรือถ้าเราได้ตั้งเป้าหมายจะสู่ระดับเอเชีย 6 เดือนถึง 1 ปี ก็โดนตำหนิจากแฟนบอลทั้งนั้น ยิ่งอยากให้พูดว่าเราจะไปฟุตบอลโลกได้เมื่อใด ก็เหมือนเป็นการกักขังตัวเองกับเป้าหมายเอาไว้ ฉะนั้นสาเหตุที่ผมพูดในเรื่องของสัญญาโก้วันนั้น ก็เพราะต้องการปลดล็อกตัวเอง ถ้าอยากให้เปลี่ยนก็เปลี่ยน แต่ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ถ้าดีขึ้นก็ดี ถ้าไม่ดีขึ้นอย่ามาโทษตัวผมแค่คนเดียว"
 

          "ยิ่งเรื่องของโค้ชต่างชาตินั้น ทุกวันนี้ยังมีโค้ชกับเอเย่นต์ ที่ส่งโปรไฟลพร้อมกับค่าเหนื่อยมาให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยพิจารณาอยู่เหมือนกัน ตลอดจนมาขอทำแบบไม่คิดเงินด้วยซ้ำ หรือบางคนเดินหน้าเข้ามาคุยกับเราโดยไม่ได้นัดหมายก็ต้องคุย เพื่อเป็นการให้เกียรติเขา เพราะวันหนึ่งหากวันหนึ่งเราต้องใช้บริการเขาแล้วเราเมินไป ก่อนที่เขามีงานทำแล้วเขาจะกลับมามองว่าเราเป็นคนอย่างไร ผมจึงงงว่าข่าวกับโค้ชอาร์เจนติน่าที่ออกมานั้นมาอย่างไร"
 

                                                                ไม่เคยตั้งธงกับ "ซิโก้" เหมือนที่หลายคนคิด
 

          นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังได้ระบุถึงสัญญาของเฮดโค้ช "ช้างศึก" ตลอดจนมีกระแสข่าวลือในวงในว่าเจ้าตัวได้ตั้งธงกับ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ซึ่ง "บิ๊กอ๊อด" ”พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า
 

          "การเซ็นสัญญากับซิโก้ก่อนหน้านี้ 1 ปี เป็นรูปแบบที่ทั้งสงฝ่ายยินยอมร่วมกัน เพราะจะไม่เป็นการผูกมัด ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่เคยมีการตั้งธงใดๆกับซิโก้แม้แต่น้อย และที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ ซิโก้ ยังรู้ดีว่าผมเองหงุดหงิด มันจึงออกมาตามความรู้สึก เมื่อตอบปัญหากับนักข่าวออกไป"
 

          "เพราะที่ผ่านมาผมจะไม่เขาไปยุ่งวุ่นวายการทำงาน แต่ถ้า กิน อยู่ หลับ นอน ไม่ดี อันนี้ต้องมาด่าผม เนื่องจากผมมีหน้าที่ในการเตรียมตัวเรื่องนี้ออกมาให้ดี ผมจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของโค้ชหรอให้จัดระบบการเล่นใดลงสนามอย่างเด็ดขาด"
 

          "อย่างเช่นในเกมที่สอง ของรอบชิงชนะเลิศ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ผมได้บอกนักเตะว่าให้เล่นให้ดีเหมือนเสมอกับ ออสเตรเลีย ต้องเล่นเพื่อประเทศชาติ ขนาดที่ผมเองยังยอมรับว่าการได้สัมผัสกับเฮดโค้ชทีมชาติไทยมาทุกชุด ซิโก้ ดีที่สุด เพราะเขาเป็นคนมีวินัย ควบคุมนักเตะตลอดจนการดูแลเป็นอย่างดี ทำให้ผู้เล่นมีวินัยมากกว่าชุดอื่นที่มีเรื่องออกาก่อนหน้านี้"
  

                                                           เคลียร์ขาด!!โค้ชชุดใหญ่เป็นคนไทยก็ได้
  

          วาทะเด็ดของการเดินทางมาอัดรายการ "เป็นเรื่อง เป็นข่าว" ทาง พีพีทีวี ช่อง 36 เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา ของ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ได้แย้มอนาคตการกุมบังเหียนของ "ซิโก้"เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ระบุว่า


          "ผมทราบดีว่าวันนี้มี 2 ฝ่ายที่สนับสนุนและอยากให้เปลี่ยนตัวเฮดโค้ชทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ซึ่งผมเองเป็นคนที่อยู่ตรงกลางตัดสินใจอะไรออกไป ก็ต้องโดนอีกฝั่งตำหนิอยู่แล้ว จึงอยากจะให้มีการได้พูดคุยกับตัวของ ซิโก้ กันให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะทำอะไรลงไป"
 

          "รวมทั้งผมยังมองว่า "โค้ชเยาวชนเป็นโค้ชนอกได้ แต่โค้ชชุดใหญ่ก็เป็นคนไทยได้" นี่คือสิ่งที่ผมได้ให้ความสำคัญพูดออกมาโดยตลอด เพราะผมมองว่าโค้ชต่างชาติจะรู้เรื่องของนักเตะบ้านเราได้ดีกว่าโค้ชคนไทยด้วยกัน เนื่องจากจะต้องมีประสบการณ์ จิตวิทยา เพื่อผนึกกำลังให้ผู้เล่นเป็นเนื้อเดียวกันให้ได้" 
 

                                                       มี3บริษัทนอกขอช่วยพัฒนาเพื่อตัดระบบอุปถัมภ์
 

          ขณะเดียวกันเจ้าตัวยังมองถึงการพัฒนาวงการลูกหนังไทยว่า "ตราบใดที่อยู่ในตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดตัวผู้เล่นของทีมชาติไทยต่างๆแน่นอน เนื่องจากผมคิดแต่จะพัฒนาฟุตบอลไทยที่อยากจะให้เป็นแบบสไตล์ไทยแลนด์ เหมือนอย่างที่ผมได้พูดก่อนหน้านี้ ฉะนั้นจำเป้นต้องมีเบ้าไว้หล่อหลอม"
 

          "โดยผมได้มีโอกาสคุยกับ 3 บริษัทในการบริหารงานฟุตบอลแบบเป็นแพ็คตั้งแต่ โค้ช, สเก้าต์, นักเตะ ในระดับ 12, 14, 16, 18, 19 เพื่อให้พัฒนาอย่างเป็นระบบในรูปแบบเดียวกันที่เราต้องการ ซึ่งมี แอสไพร์ อะคาเดมี่ ของทางกาตาร์ รวมทั้ง เอ็คโคโน่ ที่อยู่ในเครือพัฒนาเยาวชนของบาร์เซโลน่า และปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งเวลานี้ทำวงการฟุตบอลญี่ปุ่นมา 8 ปี"
 

          "รวมทั้ง ซ็อกน่า ที่อยู่ในเครือของ เรอัล มาดริด และดูแลระบบของทีม กว่างโจว เอเวอร์กรานเด้ สโมสรยักษ์ใหญ่ในจีน ที่ผมจะไปดูบริษัทนี้ในช่วงวันที่ 6-9 ม.ค.ปีหน้า โดยแต่ละที่มีค่าใช้จ่าย 30 ล้านบาท เพราะต้องการให้เกิดการเรียนรู้ อีกทั้งได้คุยกับเขาแล้วว่าหากมีการเซ็นสัญญาจริงๆ จะต้องให้โค้ชไทยเป็นผู้ช่วย เพื่อให้ภายใน 2-3 ปีได้รับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ตลอดจนอย่ายึดติดกับคำว่าหัวหน้าผู้ฝึกสอน"
  

          "การที่เราอยากให้บริษัทที่ผ่านการทำฟุตบอลมาช่วยพัฒนาในครั้งนี้ เพราะผมต้องการขจัดระบบอุปถัมภ์ออกไป กล่าวคือ ไม่อยากให้ใครเลือกนักเตะของตัวเองมาอยู่ในทีม แม้ว่าผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ แต่แฟนบอลก็ต้องยอมรับในการจัดตัวผู้เล่นเหมือนกัน เพราะต้องให้เกียรติโค้ชด้วย ไม่ใช่ว่าเลือกคนที่ตัวเองไม่ชอบลงสนามแล้วมาต่อว่า อันนื้ถือว่าเป็นส่งที่ผิดอย่างมาก นอกจากนี้แนวทางที่ผมคิดคือจะให้เด็กทีมชาติตั้งแต่ 12, 14, 16, 18 อยู่ในแคมป์ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เพื่อสะดวกในการซ้อม แต่ช่วงวัย 19, 21, 23 และชุดใหญ่คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะมีสังกัดสโมสรกันหมดแล้ว"
    

      ต้องพร้อมในการป้องกันแชมป์ซีเกมส์
 

          "บิ๊กอ๊อด" ยังได้ปิดท้ายในเรื่องของทีมซีเกส์ ที่จะต้องไปป้องกันแชมป์ในปี 2017 ว่า "ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเราต้องคิดพร้อมกันว่าเราต้องการให้แฟนบอลชาวไทยเข้าใจว่า ความตั้งใจของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ นักกีฬา และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ทุกคนมีความุ่งมั่นที่อยากจะให้สมหวัง ในการก้าวไปสู่ระดับเอเชีย ระดับโลกได้ในอนาคต"
 

          "แม้ว่าผมยังตอบไม่ได้ว่าจะต้องใช้เวลากี่ปีในเรื่องนี้ เพราะฟุตบอลไทยเพิ่งจะเริ่มพัฒนากันเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศอื่นๆที่เข้าสู่ฟุตบอลโลกพัฒนามา 40-50 ปี หรือเป็น 100 ปี จึงอยากจะขอฝากแฟนบอลว่าต้องเข้าใจตรงจุดนี้ บางครั้งเรารีบกันเกินไป จนกดดันนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช รวมทั้งสมาคมฯด้วย แต่เราจะไปถึงจุดนั้นได้ถ้าเรามีการเตรียทีมที่ดีเพื่อให้วันข้างหน้ามีความสุขกับสิ่งที่เราปรารถนาเอาไว้"


          “ส่วนเป้าหมายของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในซีเกมส์ เราย่อมหวังอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเก่ง เขาก็เก่ง เราพร้อมเขาก็พร้อม เราเก่งเขาอาจเก่งกว่า นี่จึงเป็นเรื่องที่เราต้องเตรียมความพร้อม เพราะว่ามีเรื่องของความคาดหวังในหมู่แฟนบอล เนื่องจากผลงานที่ผ่านมาของทีม ยู 23 ได้สร้างผลงานที่ดีมาโดยตลอด”